golden kamuy

golden kamuy สุกิโมโตะ จอมอมตะ
golden kamuy เสนอแนะ เรื่องย่อตัวนำของเรื่อง เป็นสุกิโมโตะ ไซจิ ทหานที่เคยผ่านการรบผู้ได้รับสมญานามว่า “สุกิโมโตะ จอมอมตะ” เนื่องจากเขาได้สร้างวีรกรรมต่อสู้ข้าศึกอย่างกล้าหาญ ในสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย ระหว่างปี 1904-1905 ณ ที่ราบสูงแมนจูเรีย แต่ว่าเพราะนิสัยห่ามๆไม่เกรงกลัวความตายของเขามิได้ปรากฏแค่เพียงในสนามรบเท่านั้น ดูการ์ตูน golden kamuy คลิก
สุกิโมโตะคนอมตะ
เพราะว่าเขาได้วิวาทกับนายทหารระดับสูง ก็เลยจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านกำเนิดเมืองนอนอย่างไร้เกียรติยศ และแน่ๆว่าไร้สินทรัพย์เสียด้วยปัญหามีอยู่ว่า สุกิโมโตะคนอมตะของพวกเรามิได้ต้องการเกียรติ และก็เช่นเดียวกับคนทั่วๆไป คือเขาอยากเงิน เพื่อรักษาข้อตกลงกับเพื่อนสมัยเด็กที่ตายในสนามรบ ว่าขอให้ดูแลภรรยาของเขา ซึ่งบัดนี้ดวงตาฝ้ามัว และก็ควรจะไปรักษาที่อเมริกาก่อนที่จะสายเกินแก้
รวมทั้งเมียของเพื่อนคนนั้น ก็เป็นหญิงสาวที่เขาหลงเสน่ห์ในวัยเยาว์อย่างเดียวกันแต่ว่าเงินมิใช่เห็ดที่จะผุดมาง่ายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังปรับปรุงเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้วก็มหาอำนาจอย่างสุดกำลัง สุกิโมโตะชายหนุ่มต่างจังหวัด ไม่ได้มีความรู้และความเข้าใจมากพอจะหารายได้หลายร้อยเยนได้อย่างเร็ว
นอกเสียจากว่า เขาจะปฏิบัติตนโง่เง่าไปนั่งร่อนทองที่แม่น้ำในเกาะฮอกไกโดเหมือนกับชายแสวงโชคคนอื่นรวมทั้งระหว่างที่กำลังไม่ประสบผลสำเร็จ เหตุเพราะไม่พบทองที่ต้องการในแม่น้ำนั้น เขากลับได้รับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับที่ซ่อนทองคำมากมาย
ผ่านปากอดีตนักโทษขี้เหล้าขี้ยาคนหนึ่งอดีตนักโทษผู้นี้ แหกคุกมาพร้อมกับเพื่อนพ้องๆกว่า 25 คน และก็ทุกคนถูกสักแผนที่แอบซ่อนทองของชาวไอนุที่มีหลายชิ้นกว่า 20 คัง (75 กก. ราคาเดี๋ยวนี้ราว 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 97 ล้านบาท)
คาดการณ์กันว่านักโทษที่ทำรอยสักคนนี้ เป็นผู้สังหารชายไอนุหมู่บ้านหนึ่งตายไปหลายราย เพื่อรู้ถึงทางหลบซ่อนทองคำนั้น และก็ด้วยหัวข้อนี้ เด็กสาวไอนุคนหนึ่งอายุราวๆ 12-13 ปีชื่อว่า อาชิริปะ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสุกิโมโตะ เธอแล้วก็เขาได้ตกลงร่วมมือกันเพื่อตามหาเรื่องจริงที่ว่า
1. คนไหนเป็นผู้ทำรอยสักแก่นักโทษ เนื่องมาจากพ่อของอาชิริปะเป็นเหยื่อผู้ถูกฆ่าในโศกนาฏกรรมทองคำดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
2. ทองดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแท้จริงแล้วอยู่ที่แห่งใด
สุกิโมโตะ จอมอมตะ
โดยสุกิโมโตะจะขอส่วนแบ่งจากทองดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อไปรักษาตาของภรรยาสหายเพียงแค่นั้น รวมทั้งจะแอบซ่อนทองคำของชาวไอนุที่เหลือไว้ที่เดิมสมัยก่อนวีรบุรุษในสงครามที่ถูกละทิ้งและเด็กผู้หญิงกำพร้าชาวพื้นเมืองจึงร่วมเดินทางตามหาข้อเท็จจริงดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว
โดยมิได้พิจารณาว่า มีใครต่อใครหมายปองทองปริมาณนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้ากองพลที่ 7 ที่ต้องกลับมาจากสนามรบมือเปล่า อยากได้นำทองคำดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเพื่อสร้างความมั่งมีแก่พวกของตัวเองที่ฮอกไกโด อีกทั้งยังมีอดีตกาลผู้นำกบฏที่น่าจะเสียชีวิตไปแล้วเช่น ฮิจิคาตะ โทชิโร่ ในวัยแก่ ที่มิได้ละทิ้งความฝันในการแยกประเทศออกมาจากองค์จักรพรรดิ แล้วก็กลุ่มคนรู้จักอีกมากมายคน ที่ปรารถนา “ทอง”
อันนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอำนาจและก็กระตุ้นความมักมากของผู้คน จนกระทั่งยากจะแยกว่าใครกันแน่คือมิตรหรือศัตรู ต่อหนุ่มสาวผู้ไร้เดียงสาทั้งสองไปสู่บทวิจารณ์ เตือนอีกที ยาวและก็สปอยส์ผู้เขียนเห็นด้วยว่า ไม่นึกว่าการ์ตูนจะมีพล็อตที่สนุกขนาดนี้ ตอนต้นอ่านด้วยเหตุว่าคีย์เวิร์ด Gold Rush (ชื่นชอบนิยายความทุกข์ร้อนของชนผิวขาวที่ไปพบทองตามแบบ American Dreams เป็นทุนเดิม) รวมทั้งชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต้นศตวรรษที่ 20 ที่แท้มีผู้แต่งการ์ตูนตอนนี้เยอะแยะ
แม้กระนั้นส่วนใหญ่เป็นการ์ตูนโรแมนติกเสียมากกว่า รวมทั้งตอนท้ายเป็น การสะท้อนภาพ “คนกลุ่มน้อย” อย่างชาวไอนุ คนเขียนพึงพอใจเรื่องชาวไอนุเป็นพิเศษ เพราะเหตุว่าได้อ่าน Unbeaten Tracks in Japan ซึ่งเขียนโดย Isabella L. Bird นักผจญภัยหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นฝรั่งคนแรกๆที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตในของญี่ปุ่นในปี คริสต์ศักราช 1878 โดยเธอได้ชี้แจงถึงกลุ่มชาวไอนุที่คุณพบเห็นด้วย ก็เลยไม่คิดอะไรมาก แล้วอ่านไปเรื่อยๆก็สนุกสนานดี
แต่แน่ๆว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีดีมากยิ่งกว่าเพียงแค่โชว์วัฒนธรรมชาวไอนุ เนื่องจากว่ามันยังสะท้อนปัญหาอันหลากหลายของประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่กำลังสร้างจักรวรรดิ และขอนำเสนอประเด็นแรกที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดคำตอบที่ว่า ทำไมทุกคนจึงกระเสือกกระสนหาทองคำกันนัก (หรือคุณอาจจะคิดไปอีกว่า ปัญหาที่มีคำตอบกล้วยๆเท่านี้ จะเอามาวิเคราะห์เพราะเหตุไรจำนวนมาก และจะมาเป็นใจความของเรื่องได้อย่างไร)การเมืองคนขอบจะเห็นได้ว่าเมื่ออ่านไปเรื่อยๆการเสาะหาทองคำ (Gold Rush) ในการ์ตูน
การเสาะหาทองคำ (Gold Rush) ในการ์ตูน
มิใช่กระแสที่เสาะหาความมั่งมีแบบแต่ละคนอีกต่อไป รวมทั้งแม้แต่กระแส Gold Rush นี้เอง ก็สะท้อนได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ละเลยคนประเทศญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่ไม่สามารถปรับพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งจากระบอบการเมืองการปกครองที่เป็น “เมือง” แบบสมัยใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรม และก็การเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก คนธรรมดาทั่วไปของประเทศญี่ปุ่น
อาทิ คนอย่างสุกิโมโต้ ที่ไม่ได้มีความสามารถแบบสมัยใหม่ ถ้าหากไม่ปลูกข้าว เป็นแรงงานตามเมืองใหญ่ ก็จำเป็นต้องไปเป็นทหาร หรือถ้าหากเลวหน่อย ก็เป็นอาชญากร เพื่อลัดชีวิตตัวเองให้สบายขึ้น อย่างกับเหล่านักโทษที่มีรอยสักแปลกบนข้างหลังเรียกได้ว่า
ผู้แสดงคนประเทศญี่ปุ่นในนี้ ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่แปรไปเป็น “แนวความคิด” คนเดินดินทุกคนในญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่ที่เห็นการค้ากับโลกภายนอก ทราบว่าตนเองได้โอกาสยกสถานะตัวเองขึ้นมาได้ หากว่าตนจะเป็นคนธรรมดาก็ตาม กรรมวิธีการยกสถานะด้านสังคมมีล้นหลาม
อาทิเช่น การบินร่อนทอง การพนัน เป็นยากูซ่า ปล้นธนาคาร หรือขยันปฏิบัติงานสุจริตใดๆแม้กระนั้น ไม่ผิดแปลกไปจากเหล่าผู้หลบภัยในอเมริกาที่ฝันจะมี “American Dreams” หรือการเปลี่ยนเป็นชนชั้นกลางผู้มีอันจะกินกระนั้นแล้ว บนเกาะใหญ่ที่นี้ ก็มีคนไม่เข้ากลุ่มดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอยู่ด้วย โน่นคือ “ชาวไอนุ” ฝูงชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะฮอกไกโด
โดยเป็นที่คาดคะเนว่าเขาน่าจะย้ายถิ่นมาจากทางทิศตะวันออกของรัสเซีย ผ่านมาทางหมู่เกาะซาฮาลินโดยตรง หรืออาจมาจากเกาะไต้หวัน ก่อนมาญี่ปุ่น รวมทั้งถูกไล่ส่งไปทางทิศเหนือ โดยอดีตสมัยแก้ไขประเทศให้เป็นสมัยใหม่ (Modernization) แทบจะไม่มีคนประเทศญี่ปุ่นคนไหนกันแน่ต้องการจะไปอาศัยอยู่บนดินแดนหนาวกันดารอย่างฮอกไกโดมากนัก นอกเหนือจากชาวไอนุ
ซึ่งได้ลงหลักปักฐานแล้วก็ดำรงชีวิตมาหลายชั่วลูกชั่วหลานแม้กระนั้น การเข้ามาของระบบทุนนิยม ทำให้ผลิตภัณฑ์ดังเช่นของป่า ไม่ว่าจะเป็นไม้ขนาดใหญ่ หนังสัตว์ ของป่า ทรัพยากรธรรมชาติ ล้วนเป็นที่ต้องการเพื่อทำส่งออกไปยังโลกตะวันตก รวมถึงเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประกอบเรือของญี่ปุ่น ทั้งประเทศญี่ปุ่นยังเผชิญกับปัญหา Over-Population รัฐบาลก็เลยส่งเสริมให้คนภายในภาคกลางไปริเริ่มทำไร่ทำนาที่เหนือตั้งแต่ตอนทศวรรษ 1860
ชนเผ่าประจำถิ่น
แล้วก็ราวกับๆกับชนเผ่าประจำถิ่นทั่วโลก ที่ก็มีชีวิตมาอย่างช้านาน ผาสุก ด้วยวัฒนธรรมของตน แล้วก็มีภูมิปัญญาล่าสัตว์เพื่อดำรงชีวิต เพราะเหตุใดควรต้องกระทำตนเองให้ตรากตรำ ด้วยการเอาตนเองเข้าไปอยู่ในระบบตลาดโลก ที่ใช้เงินแลกสิ่งของ และยังรวมไปถึงซื้อความเป็นมนุษย์ด้วยเล่า
ด้วยการนี้เอง ตำนานที่ว่าชาวไอนุที่หาทองคำได้จำนวนไม่ใช่น้อยในอดีตกาลระหว่างจับปลาแซลมอน ก็เลยมีความรู้สึกว่า “ทอง” เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่น้ำเลอะเทอะ และไม่มีปลาอุดมสมบูรณ์ ทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาขุ่นเคืองใจ จึงเอาทองเหล่านี้ไปซ่อนเสีย ชีวิตจะได้สุขสงบดังเดิมหากแปลตรงตัว Golden Kamuy แสดงว่า
Golden God (Gold หมายความว่า “ทอง” ที่เป็นแร่หินอันมีมูลค่า ส่วน Golden เป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่าเสมอเหมือนทองคำ แต่ว่าไม่ใช่ทองจริงๆ) โดย Kamuy ที่หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้า เป็นภาษาพื้นบ้านชาวไอนุฮอกไกโด
ซึ่งบูชาเชื่อถือธรรมชาติเช่นเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้าที่ส่งผลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ แต่ว่าสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ทองต่างหากที่จะทำให้เขาใครๆเป็นพระเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าในที่นี้คือผู้ที่มี “อำนาจ” และกรรมวิธีการให้ได้มา
ซึ่งอำนาจนั้น มิต้องการมีความคิดเห็นว่าเขาจะมีคุณลักษณะเสมือนพระผู้เป็นเจ้าเท่าใดนัก แต่คล้ายจะเป็นปีศาจเสียมากกว่า เพราะฉะนั้น “ทองคำ” ที่กำหนดอัตราการแลกเปลี่ยน หรือดัดแปลงอะไรต่อมิอะไร (commodification)
ดังเช่นว่า ธรรมชาติ คน ความรู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค้าขายกันได้ เป็น “ภูติผีปีศาจ” อีกทั้งในความหมายเชิงเปรียบเทียบและตามความหมายที่ตรงตัว
คือ 1. ทำให้แม่น้ำในธรรมชาติเปรอะเปื้อน ปลาตาย
2. ทองคำทำให้คนมีอำนาจเยอะขึ้นเรื่อยๆ และทำให้คนคนนั้น เป็น “ภูติผีปีศาจ” ที่มองไม่เห็นความสำคัญของธรรมชาติ และเพื่อนมนุษย์
ปัญหาอีกประการที่น่าสนใจเป็น อะไรคือจุดแบ่งระหว่างอสุรกายกับพระเจ้า ?ทั้งถัดไปพวกเราจะทราบดีว่าทองที่ชาวไอนุเอาไปซ่อนไม่ได้มีเพียง 20 คัง แม้กระนั้นมีถึง 20,000 คัง (75 ตัน เดี๋ยวนี้มีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว เก้าหมื่นเก้าพันล้านบาท) และก็ทุกคนในเรื่องเชื่อว่าจริง
เนื่องจากชาวไอนุคงจะเก็บทองคำเรื่อยๆมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนได้จากความเป็นจริงที่ว่าพวกเขามาตั้งถิ่นฐานในเกาะประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
โดยเป็นที่คาดคะเนว่าชนชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันอพยพมาในยุคยาโยอิ จากจีนแผ่นดินใหญ่ ในยุคที่จีนแผ่นดินใหญ่มีความปั่นป่วนด้านการเมือง หรือสมัยชุนชิว ฉะนั้น เว้นเสียแต่พวกแสวงโชคเพื่อหาเงินยกระดับและก็สถานะของตัวเองในระดับปัจเจกแล้ว ผู้แสวงทองในเรื่อง ซึ่งล้วนแต่เป็นคนชายขอบของจักรวรรดิ